ถ้าพูดถึง Larry Fitzgerald ตำนาน NFL ภาพที่จะลอยมาในหัวแฟนบอลส่วนใหญ่คือปีกนอกเบอร์ 11 ของ Arizona Cardinals ที่ใส่หมวกขาว–เสื้อแดง วิ่ง route เนียน ๆ แล้วกระโดดรับบอลด้วยมือเหนียวหนึบแบบที่กองหลังได้แต่ถอนหายใจ เป็นปีกนอกที่ไม่ได้ดังเพราะพูดเยอะหรือท่าดีใจเวอร์ ๆ แต่ดังจาก “ฝีมือ +ความนิ่ง +ความเป็นสุภาพบุรุษ” ล้วน ๆ

เขาเล่นให้ Cardinals ทีมเดียวตลอด 17 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2004–2020 ทำไป 1,432 รับ 17,492 หลา 121 ทัชดาวน์ ติด Pro Bowl 11 ครั้ง และถูกยกให้เป็นหนึ่งในปีกนอกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ NFL แบบไร้ข้อกังขา
ระหว่างเรานั่งย้อนไทม์ไลน์ของ Larry ถ้าคุณเป็นคนชอบดูเกม ชอบวิเคราะห์แผนบุก คุยกับเพื่อนเรื่องตำนานปีกนอก และบางทีก็อยากเพิ่มโหมดลุ้นผลให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นนิดหน่อย การลองศึกษาเมนูกีฬา–ค่าน้ำ–อัตราต่อรองแบบใช้เงินเย็นบนเว็บอย่าง ทางเข้า UFABET ล่าสุด ก็เป็นอีกสีสันหนึ่งได้ แค่ต้องจำไว้เสมอว่าการเดิมพันคือของแถม ไม่ใช่รายได้หลักของชีวิต
วัยเด็กมินนิโซตา เด็กชายที่โตในบ้านกีฬาและห้องข่าว
Larry Darnell Fitzgerald Jr. เกิดวันที่ 31 สิงหาคม 1983 ที่ Minneapolis, Minnesota พ่อของเขาคือ Larry Fitzgerald Sr. นักข่าวสายกีฬา–คอลัมน์นิสต์ชื่อดังของท้องถิ่น ทำให้เขาโตมากับสองอย่างพร้อมกันคือ “สนามกีฬา” และ “ห้องสื่อ”
- เด็กคนอื่นอาจเดินห้างกับพ่อแม่วันหยุด
- แต่ Larry มักตามพ่อไปสนาม ไปห้องแถลงข่าว
- เห็นทั้งมุมมองของนักกีฬาและมุมมองของสื่อมาตั้งแต่เล็ก
ช่วงมัธยมเขาเรียนที่ Academy of Holy Angels ในรัฐ Minnesota เล่นเป็นทั้งปีกนอกและฝ่ายรับ เก่งพอจะติดระดับ all-state และช่วยให้ทีมเป็นโปรแกรมเด่นของพื้นที่
อีกเกร็ดน่ารักคือ ตอนวัยรุ่นเขาเคยเป็น ball boy ให้ Minnesota Vikings ได้ใกล้ชิดตำนานอย่าง Cris Carter, Randy Moss เห็นวิธีซ้อม วิธีดูแลร่างกาย วิธีวิ่ง route ของปีกนอกระดับสูงสุดจากระยะเผาขน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นพื้นฐานสำคัญของ “Larry เวอร์ชันซูเปอร์สตาร์” ในอีกหลายปีต่อมา
ระดับมหาวิทยาลัย: ระเบิดฟอร์มกับ Pitt จนคว้ารางวัลเป็นกอบเป็นกำ
หลังจบมัธยม Larry Fitzgerald ไปเล่นให้ University of Pittsburgh (Pitt Panthers) ปี 2002–2003 และแทบจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ทันที
เพียงสองซีซันกับ Pitt เขา
- รับบอลระยะมากกว่า 2,500 หลา
- ทำทัชดาวน์กระหน่ำ
- เล่นได้ใหญ่กว่าตัวเลขปีวัยรุ่นมาก
ปี 2003 เขาคือ “พระเอกของเวที” จริง ๆ
- เป็น unanimous All-American (ทุกสำนักโหวตให้เป็นทีมชุดใหญ่)
- กวาดรางวัลใหญ่ระดับประเทศทั้ง Biletnikoff Award, Walter Camp Award, Paul Warfield Trophy ฯลฯ
- เป็นผู้นำ NCAA ทั้งด้านระยะรับและทัชดาวน์รับในปีเดียวกัน
เขายังจบซีซันนั้นด้วยการเป็น รองอันดับ 2 ของโหวต Heisman Trophy (แพ้ Jason White) ซึ่งสำหรับปีกนอกถือว่าโหดมากแล้ว เพราะรางวัลนี้มักจะเทไปทางควอเตอร์แบ็ก–รันนิ่งแบ็กเสียส่วนใหญ่
ปี 2024 เขาถูกบรรจุเข้า College Football Hall of Fame อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำว่าช่วงสั้น ๆ ที่ Pitt คือหนึ่งในอาชีพระดับมหาลัยที่เดือดที่สุดตลอดกาลของตำแหน่งปีกนอก
ดราฟต์ 2004: ตัวเลือกอันดับ 3 ที่ถูกคาดหวังให้กู้ชีพแฟรนไชส์
ด้วยฟอร์มระดับนั้น ในดราฟต์ปี 2004 ทุกคนรู้ว่า Larry Fitzgerald จะออกในรอบต้น ๆ อยู่แล้ว สุดท้าย Arizona Cardinals ภายใต้หัวหน้าโค้ชใหม่อย่าง Dennis Green (ที่เคยอยู่ Vikings) เลือกเขาในลำดับที่ 3 overall
บริบทตอนนั้นคือ
- Cardinals เป็นทีมที่ผลงานไม่ค่อยดี
- แฟนบอลไม่เยอะเท่าทีมตลาดใหญ่
- ต้องการ “หน้าใหม่ของแฟรนไชส์” ที่แฟนจะผูกใจได้ระยะยาว
Larry เข้ามาพร้อมทั้งพรสวรรค์และบุคลิกนิ่ง สุภาพ ทำให้สื่อจำนวนมากมองว่า “นี่แหละ คนที่จะเป็นตัวแทนทีมได้ทั้งในและนอกสนาม”
ฤดูกาลรุกกี้เขาทำไปกว่า 700 หลา 8 ทัชดาวน์ ถือว่าเปิดตัวได้สวย และยิ่งพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในปีถัด ๆ มา จนกลายเป็นรากฐานของเกมบุก Cardinals ยุคใหม่
การยกระดับกับ Kurt Warner และไฮไลต์เพลย์ออฟปี 2008
ช่วงที่หลายคนจำได้ชัดคือยุคที่ Larry Fitzgerald จับคู่กับควอเตอร์แบ็กอย่าง Kurt Warner เกมขว้างของ Cardinals กลายเป็นหนึ่งในเกมบุกที่ดุที่สุดของลีก
ปี 2008 คือซีซันที่ Larry เล่นเหมือนเปิดโหมด “บอสใหญ่”
- ฤดูกาลปกติรับไปมากกว่า 1,400 หลา 12 ทัชดาวน์
- แต่สิ่งที่เดือดจริง ๆ คือ รอบเพลย์ออฟ
ในเพลย์ออฟปีนั้น เขาทำสถิติ
- รับ 30 ครั้ง 546 หลา 7 ทัชดาวน์ แค่ในโพสต์ซีซันเดียว ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของ NFL ในตอนนั้น ทั้งจำนวนรับและทัชดาวน์
- มี 3 เกมที่รับเกิน 150 หลาในเพลย์ออฟ ซึ่งก็เป็นสถิติลีกเช่นกัน
ภาพจำคือเกม NFC Championship เจอกับ Eagles ที่เขาทำ 3 ทัชดาวน์ในครึ่งแรก และช่วยพา Cardinals เข้าสู่ Super Bowl XLIII เป็นครั้งแรกของยุค Arizona (ทีมเคยได้แชมป์ NFL แต่สมัยเป็น Chicago / St. Louis Cardinals ยุคโบราณ)
แม้สุดท้ายพวกเขาจะแพ้เกมสุดมันส์ให้ Pittsburgh Steelers ด้วยทัชดาวน์ปลายเกมของ Santonio Holmes แต่ฟอร์มของ Larry ในโพสต์ซีซัน 2008 ก็ทำให้คนยกให้เขาเป็น “หนึ่งในปีกนอกเพลย์ออฟที่โหดที่สุดเท่าที่เคยมีมา” แบบไม่เกินจริงเลย
สถิติระดับตำนาน: คนที่อยู่ใกล้ Jerry Rice ที่สุดในหลายหมวด
ระหว่างปี 2004–2020 Larry Fitzgerald สะสมตัวเลขไปแบบนิ่ง ๆ ไม่หวือหวา แต่โหดมากเมื่อมองยาว ๆ
จากข้อมูลสถิติหลักของลีก เขาจบอาชีพด้วย:
- 1,432 receptions (อันดับ 2 ตลอดกาล รองจาก Jerry Rice)
- 17,492 receiving yards (อันดับ 2 หรือ 3 ตลอดกาล ขึ้นอยู่กับการจัดอันดับอัปเดต แต่แน่นอนว่าอยู่หัวตาราง)
- 121 receiving touchdowns (ท็อปโฟร์ตลอดกาล)
- ติด Pro Bowl 11 ครั้ง
- นำลีกด้านจำนวนรับสองครั้ง (2005, 2016)
- นำลีกด้านทัชดาวน์รับสองครั้ง (2008, 2009)
- ติด NFL 2010s All-Decade Team และ NFL 100th Anniversary All-Time Team
เขายังถือสถิติพิเศษหลายอย่าง เช่น
- ฤดูกาลที่มีอย่างน้อย 90 receptions ถึง 8 ครั้ง
- สถิติรับบอลและทัชดาวน์ในเพลย์ออฟ 2008 ที่พูดไปข้างบน
- เป็นปีกนอกคนแรกที่มีอย่างน้อย 150 receptions กับทีมเดียวกันสามทีมคู่แข่งในดิวิชัน (Seahawks, Rams, 49ers) เพราะเจอกันบ่อยมากจนเก็บสะสมได้โหด
ถ้าเปรียบตารางสถิติเป็นกระดานคะแนนในบอร์ดเกม Larry ก็คือคนที่เล่นเงียบ ๆ แต่ทุกเทิร์นมีแต้ม และพอเกมจบเปิดดูอีกที “อ้าว ทำไมคะแนนแกเยอะขนาดนี้ฟะ” ประมาณนั้นเลย
สไตล์การเล่น: route เนียน มือเหนียว ใจนิ่ง และเกมรับยังต้องเคารพแม้แก่แล้ว
จุดเด่นของ Larry Fitzgerald ตำนาน NFL ไม่ได้อยู่ที่สปีดสุดจัด หรือความสูงเวอร์ ๆ แต่อยู่ที่ “ความครบเครื่อง” และ “รายละเอียดเล็ก ๆ”
มือเหนียวแบบกาวตราหมี
- Larry แทบไม่ค่อยทำบอลหล่นง่าย ๆ
- มีหลายฤดูกาลที่อัตรา drop ของเขาต่ำมากจนโค้ชทั้งลีกยกย่อง
- บอลเข้า radius เขาแล้วกองหลังได้แต่ลุ้นให้เป็น incompletion จากการปัด มากกกว่ารอลูกหล่นเอง
route running ระดับตำรา
- เขาอ่านเกมรับดี รู้จักหาช่องว่างในโซนคัฟเวอร์
- วิ่ง route ได้หลากหลาย ทั้ง slant, dig, comeback, corner, seam
- เมื่ออายุมากขึ้นและสปีดเริ่มตก เขาปรับตัวมาเล่น slot receiver มากขึ้น ใช้ความเข้าใจเกมและ route แทนสปีดล้วน ๆ ทำให้ยังมีฤดูกาล 100+ จับบอลในวัยสามสิบปลาย ๆ ได้อีก
ความ tough และความพร้อมในเกมใหญ่
- เขาแทบไม่เคยพลาดเกมด้วยอาการบาดเจ็บยาว ๆ มากนัก
- ในเพลย์ออฟหรือเกมสำคัญ เขามักเล่นดีกว่าค่าเฉลี่ย (ย้อนไปที่โพสต์ซีซัน 2008 ได้เลย)
ความเป็นผู้นำเงียบ ๆ
- เขาไม่ใช่คนพูดโวยวายใส่เพื่อนหน้ากล้อง
- แต่เป็นคนที่ “ซ้อมให้คนอื่นเห็น” และวางตัวแบบมืออาชีพ
- ทั้งรุ่นน้องปีกนอกและควอเตอร์แบ็กหลายคนพูดตรงกันว่า แค่ดู Larry เตรียมตัวก็เหมือนได้เรียนมินิโค้สคลาสไปในตัว
ภักดีต่อ Cardinals ทีมเดียวตลอดเส้นทาง
ในยุคที่นักกีฬาย้ายทีมกันง่าย ๆ การเห็นผู้เล่นระดับซูเปอร์สตาร์อยู่กับทีมเดียวจนเกือบตลอดอาชีพเป็นภาพที่หายากมาก
Larry Fitzgerald คือหนึ่งในไม่กี่คนที่
- ถูกดราฟต์โดย Cardinals
- เล่นให้ทีมเดิม 17 ฤดูกาลเต็ม ไม่เคยย้ายไปทีมอื่นเลย
- กลายเป็นหน้าเป็นตาของแฟรนไชส์ทั้งในฟิลด์และชุมชนรอบเมือง Phoenix
แม้ช่วงปลายอาชีพระบบทีม–ควอเตอร์แบ็ก–โค้ชจะเปลี่ยนไปหลายรอบ เขาก็ยังปรับบทบาทตัวเองให้เข้ากับยุคใหม่ (เช่น สมัย Kyler Murray) และเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ของ Cardinals
ชีวิตหลังเลิกเล่นแบบ “ไม่ประกาศรีไทร์เต็มปาก”
Larry ไม่ได้ลงสนามตั้งแต่ฤดูกาล 2020 เป็นต้นมา แต่ที่น่าสนใจคือ เขาไม่เคยออกมาประกาศรีไทร์อย่างเป็นทางการ
เขาเคยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า
“ผมแค่ไม่เล่นแล้ว แต่ผมยังไม่คิดว่าตัวเองเป็น ‘คนเกษียณ’ ผมยังอายุไม่มาก ยังมีบทต่อไปในชีวิตให้ทำอีกเยอะ”
หลังหยุดเล่น เขาไปจับหลายบทบาท เช่น
- ร่วมทำรายการวิทยุ–พอดแคสต์ด้านกีฬา
- ทำธุรกิจและงานลงทุน (สอดคล้องกับการที่เขาเตรียมตัวเรื่องการเงินมาตั้งแต่เล่นอยู่)
- ทำงานการกุศลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านเด็ก–การศึกษา–สุขภาพ ได้รางวัล Walter Payton NFL Man of the Year ปี 2016 จากผลงานนอกสนามเหล่านี้
เขายังถูกบรรจุเข้า Arizona Sports Hall of Fame ยืนยันสถานะ “ตำนานกีฬาเมืองนี้” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ล่าสุดชื่อของเขาก็ถูกเสนอเป็น semifinalist สำหรับ Pro Football Hall of Fame คลาสปี 2026 ร่วมกับตำนานรุ่นเดียวกันอย่าง Drew Brees ฯลฯ ซึ่งแทบไม่มีใครสงสัยว่าชื่อของ Larry จะได้เข้า Hall ในไม่กี่ปีข้างหน้านี้แน่นอน
Larry Fitzgerald ในมุมสายแฟน–สายวิเคราะห์–สายลุ้น
มองจากสายแฟน
- ถ้าคุณเป็นแฟน Cardinals ชื่อ Larry คือหัวใจของทีมอย่างแท้จริง
- ยุคที่ทีมชนะก็มีเขา ยุคที่ทีมแพ้ก็ยังมีเขาคอยแบกขวัญกำลังใจ
- จากการโหวตต่าง ๆ เขามักถูกยกให้เป็น “ผู้เล่นที่แฟนรักที่สุดของแฟรนไชส์” อยู่เสมอ
มองจากสายนักวิเคราะห์
- เขาอาจไม่ได้มีสปีดหรือความหวือหวาเท่า Randy Moss / T.O.
- แต่ในด้าน ความสม่ำเสมอ + มือนิ่ง + route running + playoff production เขาอยู่ระดับเดียวกับใครก็ได้ในประวัติศาสตร์
- ถ้าเปิด debate “ใครคือ WR all-time top 5” ชื่อลิสต์มักมี Jerry Rice แล้วอีกหนึ่งชื่อที่โผล่บ่อยมากก็คือ Larry Fitzgerald นี่เอง
มองจากสายลุ้น
- ทีมที่มี Larry หมายถึง “โอกาส first down สูงกว่าปกติ” โดยเฉพาะในดาวน์ยาก ๆ
- เขาเป็นเป้าหมายใน red zone และ third down มาตลอด ทำให้ betting model ที่ดู target share จะต้องใส่ชื่อเขาไว้เสมอ
- ช่วงวัย 30 กลาง ๆ ที่เขาถูกย้ายมาบุกจาก slot ทำให้เขากลายเป็น “เครื่องจักร receptions” ให้สายเล่น prop bet ชอบมาก
ถ้าคุณชอบวิเคราะห์อะไรแนวนี้ และอยากลองเอา insight จากการดูเกมไปต่อยอดในโลกลุ้นผลจริง ๆ ก็ไม่ผิดอะไร แต่อย่าลืมว่าฟุตบอลไข่รี่มันเดาไม่ได้ 100% ต่อให้เราอ่านเกมเก่งแค่ไหน ก็ยังแพ้จังหวะฟัมเบิลแปลก ๆ หรือ Hail Mary ได้เสมอ ถ้าจะลองก็เริ่มด้วยเงินเย็น และไปสำรวจรูปแบบเดิมพันบน สมัคร UFABET แบบใจเย็น ๆ ก่อนค่อยตัดสินใจ
มรดกของ Larry Fitzgerald ตำนาน NFL ที่มากกว่าตัวเลข
สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากตำนานบางคนคือ “คนทั้งลีกชอบเขา”
- ไม่มีข่าวดราม่าห้องแต่งตัว
- ไม่มีประวัติหลุดคำพูดแรงใส่เพื่อนร่วมทีมต่อหน้าสื่อ
- เวลาพูดถึงเขา ทั้งโค้ช เพื่อนร่วมทีม คู่แข่ง มักใช้คำว่า “pro’s pro” หรือ “ultimate professional”
เขายังเป็นหนึ่งในคนที่เดินเข้ามาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Cardinals จากทีมที่คนไม่ค่อยพูดถึง ให้กลายเป็นทีมที่มีแฟนตามทั่วโลก ผ่านฟอร์มในเพลย์ออฟ 2008 และความนิ่งที่ยาวจนน่าตกใจ
นอกสนาม เขาทำมูลนิธิของตัวเอง สนับสนุนโรงพยาบาลเด็กและโครงการอ่านหนังสือให้เยาวชนในหลายรัฐจนได้รางวัลระดับลีก (Walter Payton Man of the Year) นั่นหมายความว่าต่อให้เราเอาเรื่องฟุตบอลออกไป เขาก็ยังเป็น “คนที่โลกกีฬาอยากมีไว้เป็นแบบอย่าง” อยู่ดี
FAQ: คำถามฮิตเกี่ยวกับ Larry Fitzgerald ตำนาน NFL
Larry Fitzgerald เล่นให้ทีมไหนบ้างใน NFL?
เขาเล่นให้ Arizona Cardinals ทีมเดียว ตลอด 17 ฤดูกาลใน NFL ไม่เคยย้ายทีมเลย เป็นหนึ่งในตัวอย่าง “one-club man” ของลีกยุคใหม่
สถิติอาชีพของเขาเป็นยังไงเมื่อเทียบกับตำนานคนอื่น?
เขาจบด้วย 1,432 รับ 17,492 หลา 121 ทัชดาวน์ อยู่ระดับอันดับ 2–3 ตลอดกาลในหมวดรับและระยะ เป็นรองแค่ Jerry Rice ในหลายตาราง และถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน WR ที่สม่ำเสมอที่สุดในประวัติศาสตร์
เขาเคยได้แชมป์ Super Bowl ไหม?
ยังไม่เคย เขาเข้า Super Bowl XLIII กับ Cardinals และเล่นได้ยอดเยี่ยม แต่ทีมแพ้ให้ Pittsburgh Steelers แบบฉิวเฉียด อย่างไรก็ตาม ฟอร์มเพลย์ออฟของเขาปี 2008 ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเพลย์ออฟส่วนตัวที่โหดที่สุดตลอดกาลของปีกนอก
เขาเลิกเล่นอย่างเป็นทางการหรือยัง?
เขาไม่ได้เล่นให้ Cardinals ตั้งแต่ปี 2020 และทีมก็เดินหน้าต่อโดยไม่มีเขา แต่เจ้าตัวไม่เคยออกมาประกาศรีไทร์แบบเป็นทางการ แค่บอกว่าชีวิตยังมีบทเรียนใหม่ ๆ นอกสนามให้ทำ และตอนนี้โฟกัสกับธุรกิจ–สื่อ–การกุศลมากกว่า
เขาจะได้เข้า Pro Football Hall of Fame ไหม?
เกือบทุกสำนักมองว่า “ได้แน่นอน” ตอนนี้เขาอยู่ในรายชื่อ semifinalist ของคลาสปี 2026 แล้ว และเมื่อดูทั้งสถิติ, รางวัล, ผลงานเพลย์ออฟ, อิมแพกต์กับทีม และภาพลักษณ์ระดับ Walter Payton Man of the Year แทบไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาพลาด Hall เลย
สรุป: Larry Fitzgerald ตำนาน NFL ที่สอนให้เรา “เล่นให้เก่ง และเป็นคนให้ดีไปพร้อมกัน”
เมื่อมองย้อนเส้นทางของ Larry Fitzgerald ตำนาน NFL เราเห็นอะไรหลายอย่างมากกว่าตัวเลขบนสแตตชีต
- เด็กที่โตในบ้านนักข่าวกีฬาแต่เลือกจะดังในสนามเอง
- ดาวมหาวิทยาลัยที่ใช้เวลาแค่สองปี แต่อัดแน่นด้วยรางวัลแทบทุกใบเท่าที่มี
- ผู้เล่นที่ภักดีต่อแฟรนไชส์เดียว 17 ปี ฝ่าทั้งยุคทีมดี ยุคทีมแย่ แต่ยังรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้
- ปีกนอกที่จับบอลเหนียว วิ่ง route เนียน ทำเพลย์ใหญ่ในเกมใหญ่ และยอมย้ายจากปีกนอกข้างนอกมาเล่น slot ตอนแก่เพื่อช่วยทีมต่อ
- คนที่ใช้ชื่อเสียงและเงินที่หามาได้ไปสร้างโอกาสให้คนอื่น ผ่านงานการกุศลและโครงการชุมชนมากมาย
สำหรับเราในชีวิตจริง เราอาจไม่มีใครมาปรบมือให้ทุกครั้งที่ “จับบอลชีวิต” ได้สำเร็จ แต่เราสามารถเอาแนวคิดแบบ Larry มาใช้ได้เสมอ
- ซ้อมในสิ่งที่เราถนัดให้ดีจนคนอื่นต้องยอมรับ
- รักษามาตรฐานตัวเองต่อให้สภาพแวดล้อมรอบตัวจะเปลี่ยน
- และสำคัญสุดคือ “เก่งแล้วก็ยังเป็นคนดีได้” ใช้สิ่งที่เรามีช่วยคนอื่นบ้างเท่าที่ทำได้
แล้วถ้าวันไหนอยากพักจากการวิ่ง route ในชีวิตของตัวเอง มานั่งดูไฮไลต์ของ Larry ที่รับบอลเพลย์ยาว ๆ ให้หัวใจเต้นแรงแทนก็ได้ จะดูเฉย ๆ หรืออยากเพิ่มสีสันด้วยการลุ้นผลกีฬาเบา ๆ ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง ยูฟ่าเบท ก็ไม่ผิดอะไร ขอแค่เราเป็นคนกำหนดเพดานความเสี่ยงของตัวเองให้ชัด ไม่ทุ่มเกินกำลัง และกลับไปโฟกัสกับการสร้าง “อาชีพในแบบของเราเอง” เหมือนที่ Larry ทำกับสนามหญ้าของเขา แค่นั้นก็นับว่าเล่นเกมชีวิตได้อย่างสวยงามแล้ว 💙🏈